วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

น.ส พัชราภรณ์ ทวีรัตน์


 เซอร์ไอแซก นิวตัน
 

ชื่อ:เซอร์ไอแซกนิวตัน(SirIsaacNewton)
เชื้อชาติ:ชาวอังกฤษ
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2185-2270
ผลงานที่สำคัญ:ตั้งกฎแรงโน้มถ่วง,ค้นพบทฤษฎีเกี่ยวกับการหักเหของแสง,ตั้งกฎการเคลื่อนที่

ประวัติ : นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญา เกิด ค.ศ. 1642 ที่ลินคอล์นเคาน์ตี้ ประเทศอังกฤษ  
ตายค.ศ.1727 อายุ 85 ปี
ผลงานที่สำคัญ
 : คิดทฤษฎีไบโนเมียลได้  คิดฟลักเซียลได้สำเร็จ  ซึ่งต่อมาเรียกใหม่ว่า กฎเกณฑ์ในวิชาอินทีกราลแคลคูลัส  
สร้างกล้องโทรทัศน์แบบสะท้อนแสง พบแรงโน้มถ่วงของโลกและความโน้มถ่วงของจักรวาล และตั้งกฎของความโน้มถ่วง (Law  of  Gravitation)
พบว่า ปริซึมสามารถแยกแสงจากดวงอาทิตย์ได้เป็น  7  สี  คือ แดง  ส้ม  เหลือง  เขียว  น้ำเงิน  คราม  และม่วง  พบกฎการเคลื่อนที่
นักฟิสิกส์นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ นิวตันเกิดที่เมืองวูลสธอร์ป ลิงคอนไชร์ ประเทศอังกฤษ
ชีวิตส่วนใหญ่ของนิวตันอยู่กับความขัดแย้งกับบรรดานักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะฮุก ไลบ์นิซ และแฟลมสตีด ซึ่งนิวตันได้แก้เผ็ดโดยวิธีลบเรื่องหรือข้อความที่เป็นจิตนาการหรือไม่ค่อยเป็นจริงที่ได้อ้างอิงว่าเป็นการช่วยเหลือของพวกเหล่านั้นออกจากงานของ นิวตัน เอง นิวตัน ตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์งานของตนอย่างดุเดือดเสมอ และมักมีความปริวิตกอยู่เป็นนิจจนเชื่อกันว่าเกิดจากการถูกมารดาทอดทิ้งในสมัยที่เป็นเด็ก และความบ้าคลั่งดังกล่าวแสดงนี้มีให้เห็นตลอดการมีชีวิต อาการสติแตกของนิวตันในปี พ.ศ. 2236 ถือเป็นการป่าวประกาศยุติการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ของ นิวตัน หลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับเซอร์ในปี พ.ศ. 2248 นิวตันใช้ชีวิตในบั้นปลายภายใต้การดูแลของหลานสาว นิวตันไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมากในการอุปการะนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ และนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2246 เป็นต้นมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นิวตัน ดำรงตำแหน่งเป็นนายกสภา 
 วิลเลียม ฮาร์วีย์

 

ชื่อ:วิลเลียมฮาร์วีย์(WilliaHarvey)
เชื้อชาติ:ชาวอังกฤษ
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2121-2200
ผลงานสำคัญ:ค้นพบการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมนุษย์
               ย้อนอดีตกลับไปเมื่อ 1,400 ปีมาแล้ว คนเราเชื่อกันว่าโลหิตไหลกลับไปกลับมาทั่วตลอดทั้งร่างกายเหมือนกับคลื่นในทะเล ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า เส้นเลือดแดงที่ไหลมาจากหัวใจ มีผนังหนาและแข็งแรงเป็นตัวส่งโลหิตไปทั่งร่างกาย มิใช่จากการเต้นของหัวใจ ส่วนเส้นเลือดดำถูกสร้างขึ้นในตับ แล้วถูกส่งเข้าไปในหัวใจผสมเข้ากับเส้นเลือดแดงที่นี่ แล้วผสมกับอากาศที่มาจากปอด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนี้ถูกหักล้างด้วยการค้นพบของวิลเลียม ฮาร์วีย์ ผู้ค้นพบทฤษฎีการไหลเวียนของโลหิตเป็นคนแรก
วิลเลี่ยม ฮาร์วีย์ เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ปี ค.ศ. 1578 ที่โฟล์คสโตนเคน ประเทศอังกฤษ เป็นลูกคนโตในทั้งหมด 9 คน ของโทมัส ฮาร์วีย์ นายกเทศมนตรีเมืองฮาร์วีย์ได้รับการศึกษาครั้งแรกที่โรงเรียนคิงส์สคูล ในแคนเทอร์เบอรี่ และได้รับทุนเรียนฟรีที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาแพทย์เนื่องจากคะแนนที่ดีเด่นของเขาแต่การศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มีการบรรยายมากเกินไป และการผ่าตัดศพให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าจริง ๆ มีน้อยนักศึกษาจำนวนมากจากเคมบริดจ์ได้เป็นนายแพทย์โดยที่ไม่เคยเห็นสรีระภายในของคนไข้เลยวิลเลียม ฮาร์วีย์จึงเดินทางไปพาดัวประเทศอิตาลี ในปี 1600 ซึ่งมีโรงพยาบาลที่นักศึกษาสามารถตรวจดูและวิเคราะห์วิจัยถึงโรคภัยของคนไข้ได้ อาจารย์ที่ชื่อเสียงมากของโรงเรียนการแพทย์สมัยนั้น คือ ฟาบริเซียส เขาเป็นคนที่เริ่มศึกษาเรื่องโลหิตอย่างจริงจังที่มหาวิทยาลัยพาดัวและค้นพบลิ้นปิดเปิดในเส้นเลือดดำเขาสนใจในเรื่องทารกในครรภ์ด้วยซึ่งนั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ฮาร์วีย์ได้ค้นคว้าต่อมาและก้าวหน้าไปมากในช่วงหลังของชีวิตของเขา ต่อมาในปี 1602 เมื่อเขามีอายุได้ 24 ปี เขาก็จบการศึกษาและได้งานเป็นนายแพทย์ของโรงพยาบาลเซนท์บาร์โธโลมิวในกรุงลอนดอนและได้รับแต่งตั้งเป็นแพทย์ประจำพระองค์พระเจ้าเจมส์ที่หนึ่งแต่เขาก็ยังมีความสงสัยว่าเลือดไหลหมุนเวียนได้อย่างไร
วิลเลียมได้เริ่มการทดลองโดยใช้งูเป็นๆ ผูกเส้นเลือดดำจากหัวใจและเฝ้าสังเกตดูว่าเส้นเลือดดำช่วงระหว่างเชือกผูกกับหัวใจเล็กลงและอ่อนลงอย่างไร แต่เมื่อแก้เชือกออกเส้นโลหิตก็กลับคืนสู่สภาพปกติ เขามีเข้าใจถึงการทำงานของหัวใจ คือเริ่มจากหัวใจห้องข้างบนบีบโลหิตออกไปยังหัวใจห้องใน เมื่อหัวใจเต้น และส่งโลหิตไปยังสิ่งที่ฮาร์วีย์เรียกว่า เส้นเลือดดำที่เหมือนเส้นเลือดแดง (วีนาคาวา) และส่งไปยังเส้นโลหิตแดงใหญ่ที่ผ่านทางซีกซ้ายของร่างกายซึ่งทำหน้าที่ส่งโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
ในที่สุดเขาพบว่าโลหิตถูกส่งไปยังปอดเพื่อรับการฟอกด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์จากนั้นเส้นโลหิตแดงจะนำโลหิตที่ได้รับการฟอกแล้ว ไปเลี้ยงตลอดทั้งร่างกาย โลหิตไหลกลับโดยทางเส้นเลือดดำ ซึ่งมีผนังบางและลิ้นปิดเปิดกลังไปยังหัวใจหรืออีกนัยหนึ่งการไหลเวียนของโลหิตเป็นแบบวงกลมมิใช่ไหลถอยหลังและไปข้างหน้ากลับไปกลับมาเหมือนกับคลื่นในทะเลซึ่งเป็นความเชื่อก่อนหน้านี้ แต่ในที่สุดทุกคนก็ยอมรับการค้นพบของเขา และเมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ขึ้นครองราชย์ ก็ได้ตั้งให้เขาเป็นแพทย์ประจำพระองค์ และเขาก็ได้เขียนตำราเกี่ยวกับทฤษฎีการไหลเวียนของโลหิตนี้ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วโลกในระหว่างนั้นได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างพระเจ้าชาลส์และรัฐสภา ฮาร์วีย์มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาก จึงได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์แม้กระทั่งออกไปสนามรบกับพระองค์ด้วย แต่เมื่อสงครามสงบพระเจ้าชาลส์ถูกประหาร ฮาร์วีย์อายุประมาณ 70 ปี แต่สมองเขายังปราดเปรื่องเช่นเดิม เขาจึงกลับไปทำงานที่ลอนดอน ต่อมาสุขภาพของเขาทรุดลงและในเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 1657 เมื่ออายุเกือบครบ 79 ปี เขาก็ถึงแก่กรรม ซึ่งนับว่าการค้นพบการหมุนเวียนของโลหิตของฮาร์วีย์นั้น เป็นจุดเริ่มต้นของวงการแพทย์สมัยใหม่เลย





ลาวัวซิเอ

 

ชื่อ:ลาวัวซิเอ(Lavoisier)
เชื้อชาติ:ชาวฝรั่งเศส
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.228-2337
ผลงานที่สำคัญ:ตั้งทฤษฎีการเผาไหม้,ตั้งกฎทรงมวลของสาร
             ช่วงปี พ.ศ. 2318 อ็องตวนได้พัฒนาการผลิตดินปืน และการใช้โพแทสเซียมไนเตรต หรือดินประสิว ในการเกษตรงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของเขาก็คือการทดลองเกี่ยวกับปฏิกิริยาการเผาไหม้ เขากล่าวว่าการเผาไหม้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับออกซิเจนและการสลายสารอาหารในสิ่งมีชีวิตก็คือปฏิกิริยาการเผาไหม้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ช้าและอ่อนกว่าจนทำให้ทฤษฎีโฟลจิสตัน ซึ่งกล่าวว่า เมื่อสสารถูกเผาไหม้ ก็จะปล่อยสารที่เรียกว่าโฟลจิสตันออกมา ต้องมีอันยกเลิกไป
นอกจากนี้อ็องตวนยังได้ค้นพบว่า "อากาศที่ไหม้ไฟได้" ของเฮนรี คาเวนดิช ซึ่งอ็องตวนเรียกมันว่า ไฮโดรเจน(ภาษากรีกหมายถึงผู้สร้างน้ำ) เมื่อรวมกับออกซิเจนจะได้หยดน้ำซึ่งไปตรงกับผลการทดลองของโจเซฟ พริสต์ลีย์
ในด้านปริมาณสัมพันธ์ (stoichiometry)อ็องตวนได้ทดลองเผาฟอสฟอรัสและกำมะถันในอากาศและพิสูจน์ได้ว่ามวลของผลิตภัณฑ์มีมากกว่ามวลของสารตั้งต้นซึ่งมวลที่เพิ่มได้มาจากอากาศนั่นเอง จึงทำให้เกิดกฎการอนุรักษ์มวล หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กฎทรงมวล
หนังสือของเขาชื่อ Traité Élémentaire de Chimie พิมพ์เมื่อปีพ.ศ.2332 ภายในมีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎการอนุรักษ์มวล และปฏิเสธการมีอยู่ของทฤษฎีโฟลจิสตัน

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์


 Einstein1921 by F Schmutzer 2.jpg

ชื่อ:อัลเบิร์ตไอน์สไตน์(AlbertEinstein)
เชื้อชาติ:ชาวเยอรมัน
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2422-2498
ผลงานที่สำคัญ:ตั้งทฤษฎีสัมพันธภาพซึ่งนำไปใช้ในการสร้างระเบิดปรมาณู

             หลังจากจบการศึกษาแล้ว ไอน์สไตน์ได้สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริค แต่ได้รับ การปฏิเสธโดยไม่มีเหตุอันเหมาะสม และด้วยความเห็นใจจากศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยซูริคได้ออกใบรับรองผลการศึกษาให้เข้าจากนั้นไอน์สไตน์ได้เริ่มออกหางานทำจากประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งมีประกาศรับอาจารย์หลายแห่ง ไอน์สไตน์ได้เข้ารับการสัมภาษณ์แต่ปรากฏว่าไม่มีสถาบันแห่งใดรับเขาเข้าทำงานเลยแม้แต่สักที่เดียว ไอน์สไตน์เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นชาวยิวดังนั้นในปี ค.ศ.1901 ไอน์สไตน์ได้โอนสัญชาติเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาหางานทำได้อยู่ดี ในที่สุดไอน์สไตน์ก็ได้งานทำเป็นครูในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แต่ทำอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็ถูกไล่ออก จากนั้นไอน์สไตน์จึงรับจ้างเป็น ครูสอนพิเศษตามบ้าน แต่ก็ทำได้ไม่นานก็ถูกพ่อแม่ของเด็กเลิกจ้าง เนื่องจากไอน์สไตน์ได้แสดงความผิดเห็นว่าไม่ควรให้เด็กไปเรียนที่โรงเรียนอีกเนื่องจากครูที่โรงเรียนสอนคณิตศาสตร์ในแบบผิด ๆ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ไอน์สไตน์สอน แม้ว่าเด็ก ๆ จะรักและชอบ วิธีการสอนของเขาก็ตาม ไอน์สไตน์ก็ยังถุดไล่ออกอยู่ดี
       ต่อมาในปี ค.ศ.1902 ไอน์สไตน์ได้เจอกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งได้ฝากงานที่สำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตรที่กรุงเบิร์น ถึงแม้ว่า ไอน์สไตน์จะไม่ชอบงานที่นี่มากนัก แต่รายได้ปีละ 250 ปอนด์ ซึ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นและมีโอกาสได้พบกับสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่อีกด้วย ในระหว่างที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่นี่เขาได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการประดิษฐ์สิ่งของเช่นกัน สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกของไอน์สไตน์คือ เครื่องมือบันทึกการวัดกระแสไฟฟ้า
       ในปี ค.ศ.1903 ไอน์สไตน์ได้แต่งงานกับมิเลวา มารี เพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริค และในปีเดียวกันนี้เขา ได้เขียนบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเยอรมนีฉบับหนึ่ง และในปี ค.ศ.1905 บทความเรื่องของไอน์สไตน์ก็ได้รับ ความสนใจ และยกย่องอย่างมาก บทความเรื่องนี้เป็นของทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับความ สัมพันธ์ระหว่างพลังงาน กับมวลสาร โดยเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ E = mc2 โดย

E(Energy)=พลังงาน 
m(mass)=มวลสารของวัตถุ 
c = ความเร็วแสง
       ทฤษฎีสัมพัทธภาพต่อมาได้นำไปสู่การค้นคว้าเรื่อง พลังงานปรมาณู เพราะทฤษฎีนี้อธิบายว่ามวลเพียงเล็กน้อยของแร่ชนิดหนึ่ง สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลที่ใช้ในโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้อย่างสบาย ในระยะแรกที่ไอน์สไตน์เผยแพร่ผลงานชิ้นนี้ออก ไป ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อไอน์สไตน์อธิบายให้ฟังด้วยวิธีง่าย ๆ ก็เกิดความเข้าใจมากขึ้น และจากผลงานชิ้นนี้ทำให้เขา ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตขั้นเกียรตินิยมสูงสุด
      ในปี ค.ศ.1909 เขาได้รับเชิญให้เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซูริค (Zurich University) ซึ่งไอน์สไตน์ตอบรับทันที ทั้งนี้เขาต้องการแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถของเขา ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้เคยปฏิเสธเขามาครั้งหนึ่งแล้ว
      ในปี ค.ศ.1911 ไอน์สไตน์ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์สอนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยปราค (Prague) ในปีต่อมาไอน์สไตน์ ได้รับเชิญจากวิทยาลัยเทคนิคซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเขา ไอน์สไตน์ตกลงทันทีเนื่องจากเขาต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของเขาในระหว่างนี้มีมหาวิทยาลัยและสถาบันต่าง ๆ อีกหลายแห่งเชิญเขาไปสอน แต่เขาก็ปฏิเสธ และเขาได้ตอบรับเป็น ศาสตราจารย์พิเศษสอนที่สถาบันไกเซอร์วิลเฮล์ม (Kaiser Wilhelm Institute) การที่เขาตอบรับครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการได้สนทนา กับพระเจ้าไกเซอร์ ผู้ก่อตั้งสถาบันแห่งนี้ ไอน์สไตน์รู้สึกถูกอัธยาศัยที่สนุกสนานเป็นกันเอง ประกอบกับความสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกัน และอีก 2 ปีต่อมา ไอน์สไตน์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการประจำสถาบันแห่งนั้น


จอห์น โลจี แบร์ด

ชื่อ:จอห์นโลจีแบร์ด(JohnLogieBaird)
เชื้อชาติ:ชาวสก็อต
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2431-2489
ผลงานที่สำคัญ:สร้างโทรทัศน์สำเร็จเป็นคนแรก

               สิ่งประดิษฐ์หลายอย่างบางครั้งก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์เป็นคนแรก เพราะเป็นผลงานของหลายๆคน นักวิทยาศาสตร์บางท่านก็เป็นผู้สานงานต่อผลงานของคนอื่นจนสำเร็จอาทิเครื่องรับโทรทัศน์ที่เป็นผลงานที่มาจากหลายคน
แต่บุคคลแรกที่ได้แสดงให้สาธารณชนได้ชมเป็นคนแรกในปี 1915 ก็คือ จอห์น โลกี้ เบียร์ด นั่นเอ
จอห์น โลกี้ เบียร์ด เกิดในปี ค.ศ. 1888 เป็นบุตรชายของเสมียนที่เข้มงวด ในวัยเด็กเขามักจะเจ็บป่วยเสมอ และไม่ชอบไปโรงเรียน แต่กลับชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เช่น เครื่องร่อนที่ทำให้เขาบาดเจ็บเพราะตกจากหลังคาบ้าน 
หลังจากเรียนจบจากวิศวกรรมไฟฟ้าจากกลาสโกว์แล้วก็เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยวิศวกรอยู่พักหนึ่ง ก็ต้องออกจากงานเพราะหยุดงานบ่อยครั้ง เนื่องจากอาการเจ็บป่วย จึงทำการหาเลี้ยงชีพโดยวิธีอื่น อาทิทำของขายเช่นแยมและสบู่แต่ก็ประสบความล้มเหลว
แรงบันดาลใจให้จอห์น เบียร์ด คิดสร้างโทรทัศน์ ก็เนื่องมาจากการที่ถูกลิเอลโม มาร์โคนี ได้ประดิษฐ์เครื่องส่งสัญญาณและรับสัญญาณวิทยุทางไกลเป็นผลสำเร็จความคิดนี้ทำให้เบียร์ด จินตนาการถึงการส่งภาพด้วยคลื่นวิทยุขึ้นมาบ้าง
นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ค้นพบว่าเมื่อแสงตกลงมาบนวัตถุที่ไวต่อแสงที่เรียกว่า ซีเลเนียม จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ถ้าแสงสว่างมากขึ้น กระแสไฟฟ้าก็แรงขึ้นด้วย ภาพถ่ายที่ดีมักจะมีบริเวณสว่างและเงาที่มีความเข้มต่างๆกัน 
ดังนั้นถ้านำภาพถ่ายมาวางใกล้แผ่นซีเลเนียมและให้ลำแสงส่องไปยังภาพถ่ายและเคลื่อนที่ไปทั่วๆภาพ ส่วนสว่างและมืดของภาพจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้ากำลังต่างๆกันจากแผ่นซีเลเนียม วิธีการนี้เรียกว่าการกวาดภาพ จากนั้นกระแสไฟฟ้าจะป้อนไปยังเครื่องแปลสัญญาณแล้วส่งไปยังสายไฟฟ้าหรือคลื่นวิทยุซึ่งจะมีเครื่องรับสัญญาณจับสัญญาณเหล่านี้แล้วเปลี่ยนให้เป็นแสงอีก ทำให้เกิดภาพเดิมขึ้นอีก 
วิธีการนี้เป็นการผลิตภาพนิ่งซึ่งเป็นวิธีที่หนังสือพิมพ์ได้รับภาพข่าวจากทั่วโลก
แต่สำหรับโทรทัศน์ภาพต้องมีการเคลื่อนไหวเราได้อ่านวิธีการทำให้เห็นภาพเคลื่อนไหวในภาพยนตร์ที่ฉายบนจอ โดยการฉายภาพหลายๆภาพติดต่อกันให้มีความเร็วพอที่ตามนุษย์จะมองไม่เห็นรอยต่อระหว่างภาพทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นภาพต่อเนื่อง ในโทรทัศน์ก็ใช้วิธีเดียวกันนั้น แต่มีปัญหาที่ว่าต้องกวาดภาพไป และเปลี่ยนให้เป็นกระแสไฟฟ้า เปลี่ยนสัญญาณและเปลี่ยนกลับเป็นภาพซึ่งต้องทำให้ได้ 20 ภาพต่อวินาทีเพื่อให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวนั้นต่อเนื่องกัน

เบียร์ดทำงานในห้องนอน เขาสร้างเครื่องโทรทัศน์เป็นเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1925 และกวาดภาพด้วยจานใบหนึ่งซึ่งเขาเจาะรูหลายๆรู แล้วหมุนจานอย่างเร็วบนแกนซึ่งใช้เข็มถักไหมพรม เขาฉายแสงไปบนจานที่หมุนทำให้ส่องภาพไปตามลำดับและเปลี่ยนแสงเหล่านั้นให้เป็นกระแสไฟฟ้าซึ่งจะถูกเปลี่ยนกลับให้เป็นภาพในเครื่องรับสัญญาณวางอยู่ห่างจากเครื่องส่งเพียง 1 เมตรกว่า
หลังจากการทำงานนี้ไม่นานเขาก็เดินทางไปร้านเซลฟริดจ์ในลอนดอนแล้วสาธิตให้เจ้าของชม ในปี ค.ศ. 1925 เจ้าของร้านทำสัญญาจ้างให้เขาออกโทรทัศน์วันละ 3 รายการในร้าน ภาพที่เห็นไม่ชัดนักแต่เครื่องก็ทำงานได้และประชาชนให้ความสนใจในปีต่อมาเขาสาธิตให้หนังสือพิมพ์ชม จากนั้นเขาไปยัง บีบีซี และถึงแม้ว่าภาพของเขาจะไม่ชัดเจนแต่บีบีซีก็ให้กำลังใจสนับสนุน
ในปี ค.ศ. 1929 มีรายการโทรทัศน์ของบีบีซีส่งออกอากาศ และเริ่มมีการสร้างเครื่องรับโทรทัศน์ ในปี ค.ศ. 1930 เริ่มมีเสียง และเริ่มถ่ายทอดการแสดงละครทางโทรทัศน์ ในปีต่อมาได้มีการถ่ายทอดการแข่งม้าเดอร์บี้ทางโทรทัศน์ในกรุงลอนดอน
จอห์น เบียร์ด ถึงแก่กรรมด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ขณะที่เขากำลังคิดและพัฒนาในการส่งภาพเป็นสีในปี ค.ศ. 1946


ลูเธอร์ เบอร์แบงค์

 

ชื่อ:ลูเธอร์เบอร์แบงค์(LutheBurbank)
เชื้อชาติ:ชาวอเมริกัน(บิดา-เชื้อสาย-สก๊อตมารดา-ฝรั่งเศส-ดัตชช)
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2392-2469
ผลงานที่สำคัญ:ปรับปรุงพันธุ์พืชแล้วเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดไว้ทำให้โลกมีพันธุ์พืชใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย
            ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1849 ที่เมืองแลงเคสเตอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดามีเชื้อสายสกอต-อังกฤษ ส่วนมารดามีเชื้อสายฝรั่งเสศ-ดัตช์ เขาเป็นบุตรคนที่ 13 ในบรรดาพี่น้องทั้งสิ้น 15 คน
ชีวิตของเบอร์แบงก์คลุกคลีอยู่กับการเกษตรตั้งแต่วัยเด็กเพราะนั่นคืออาชีพหลักของครอบครัว ก่อนที่เขาจะเข้าศีกษาต่อในมหาวิทยาลัยทางด้านการแพทย์ หลังบิดาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1868 เบอร์แบงก์ต้องลาออกมาเพื่อช่วยมารดาขยายพันธุ์ไม้ ระหว่างนั้นเขายังคงศึกษาหาความรู้จากตำราต่าง ๆ ไปด้วย โดยเฉพาะหนังสือของศาตราจารย์ดาร์วิน (Charles Robert Darwin) ที่เข้าต้องติดตามอ่านทุกเล่ม เพราะคิดอยู่เสมอว่าสักวันสิ่งที่เขาอ่านจะต้องเป็นประโยชน์ในอนาคต
เล่มที่เขาโปรดปรานมากที่สุดในบรรดาตำราทั้งหมดก็คือเรื่อง "สัตว์และพืชต่าง ๆ ในครอบครัว" ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีส่วนทำให้เขามีความรู้เจนจัดในเวลาต่อมา
วันหนึ่งขณะทำงานกับมารดา เบอร์แบงก์ พบว่าเมล็ดมันฝรั่งกระจุกหนึ่งในสวนของมารดาดูผิดสังเกต เขาจึงนำไปทดลองเพาะชำแล้วบังเอิญมีต้นมันฝรั่งเกิดขึ้นมา 23 ชนิด มันฝรั่งชนิดหนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งภายหลังตั้งชื่อว่าพันธุ์เบอร์แบงก์ได้กลายเป็นต้นตระกูลของมันฝรั่งสายพันธุ์ดี


จอห์น ดอลตัน

 
จนกระทั่งดาลตันอายุครบ 12 ปี และมีความรู้ตามมาตรฐานของคนละแวกนั้นที่พอจะเป็นครูสอนหนังสือ ได้แล้ว เขาจึงปิดประกาศหน้าบ้านรับจ้างสอนหนังสือ พร้อมกับแจกกระดาษ ปากกาและหมึกฟรี สมัยนั้นกระดาษ ปากกา และหมึกหายากที่สุดในประเทศอังกฤษ ผู้คนก็สนใจมาเรียนกันตั้งแต่เด็กๆจนอายุ 17 ปีก็ยังมี โรงเรียนดำเนินไปด้วยดี แต่เมื่อดาลตันอายุ 15 ปี เขาก็เข้าหุ้นกับพี่ชายที่เปิดโรงเรียนอยู่แล้วสองพี่น้องเอาวิชาเทคนิคไปสอนในโรงเรียน เพื่อหารายได้เพิ่มมากขึ้น แม้แต่ช่วยชาวเมืองในการดำเนินกิจการ รวมทั้งการเขียนมรดกให้ด้วย ปากกาในสมัยนั้นมีอานุภาพมาก ดาลตันหันมาทำนายดินฟ้าอากาศเพื่อเพิ่ม ความรู้ทางลมฟ้าอากาศให้แก่ชาวนา ทุกๆวันเขาต้องคอยสังเกตลมฟ้าอากาศเกือบทุกๆชั่วโมงเป็นกิจวัตรที่ทำติดต่อกันมาเป็นเวลา 57 ปีจนเสียชีวิต เขาใช้เครื่องมือหยาบๆ ที่ทำเองที่บ้าน ทำการวัดปริมาณน้ำฝน ในท้องที่ที่ฝนตกทุกวัน และได้ขายเครื่องมือเหล่านี้ให้แก่ชาวนาเพื่อว่าพวกนั้นจะได้ช่วยสังเกตดินฟ้าอากาศร่วมไปกับเขาด้วยปาฐกถาของดาลตันก็ได้มีขึ้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติปรัชญาอันได้มาจากการสังเกตของเขา ประกอบด้วยเรื่อง"กฎของการเคลื่อนไหว สี ลม เสียง พระจันทร์ที่ขึ้นในเวลาเดียวกัน จันทรุปราคา ดาวพระเคราะห์และน้ำขึ้นน้ำลง"แต่ปาฐกถาครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จประชาชนรู้จักเขาดีเกินไปที่จะแตกตื่นมาฟังกัน เช่นเดียวกันกับหนังสือไวยากรณ์ ซึ่งสอนในเรื่องการผูกประโยคอังกฤษที่เขาเป็นคนเขียน ก็ขายได้จำนวนน้อยวันหนึ่ง ดาลตันซื้อถุงมาให้มารดา มารดาของเขารู้สึกยินดีที่ได้รับของขวัญชึ้นนี้และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกฉงนใจด้วย"แกซื้อถุงมาให้แม่น่ะดีทีเดียว แต่นึกยังไงถึงเอาอย่างสีแจ๊ดมาเล่า""นี่แหละเป็นสีที่เหมาะสำหรับเอาออกสังคมก็มันไม่ใช่สีน้ำเงินแก่ที่รักษามารยาทเหรอ"จอห์นตอบเขาเจอเหตุการณ์แนวนี้หลายครั้งจนเขาได้จัดตั้งทฤษฎีอธิบายและปรากฏการณ์เช่นนี้เราเรียกกันในปัจจุบันว่าตาบอดสีดาลตันเข้าไปมีส่วนร่วมในการทดสอบความรู้ บรรดานักเคมีในสมัยนั้นก็ยังไม่สามารถจับหลักในการแปรผันของส่วนผสมของเครื่องยาเคมีได้ การค้นพบหลักเช่นนี้ ทำให้ดาลตันต้องใช้ความพยายามอย่างมากและความคิดอันสำคัญยิ่งก็ปรากฏในสมองของเขาทีละน้อยๆ โดยอาศัยความรู้ทางด้านฟิสิกส์มาช่วย
จอห์น ดาลตันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1844 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ (Manchester) ประเทศอังกฤษ


วิลเฮลม์ คอนราด เรินต์แกน




ชื่อ:วิลเฮลม์คอนราดเรินต์แกน(WilhelmkonradRontgen)
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2388-2466
ผลงานที่สำคัญ:ค้นพบรังสีเอ็กซ์
   ในปี พ.ศ. 2410 เรินต์เกนเข้าทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยสตราสบวร์ก และในปี พ.ศ. 2414 ได้เป็นศ าสตราจารย์ในสถาบันเกษตรศาสตร์ที่ฮอเฮนไฮม์ เวิร์ทเตมเบิร์ก เรินต์เกนได้กลับไปเป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยสตราสบวร์กอีกคร้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2419 และในปี พ.ศ. 2422 เรินต์เกนได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยไกส์เซน พ.ศ.2431 ย้ายไปรับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยเวิร์ซเบิร์กและอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยมิวนิกในปี พ.ศ. 2443 โดยคำขอของรัฐบาลบาวาเรีย
เรินต์เกนมีครอบครัวอยู่ในประทศสหรัฐฯที่รัฐโอไฮโอ ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะย้ายไปตั้งรกรากที่นั่นเรินต์เกนได้ยอมรับการแต่งตั้งที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนิวยอร์ก และได้ซื้อตั๋วเรือไว้แล้ว แต่การระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้แผนการนี้เปลี่ยนไป เรินต์เกนตกลงอยู่ในมิวนิกต่อไปและได้ทำงานที่นี้ไปตลอดชีวิต เรินต์เกนถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2456 จากโรคมะเร็งเยื่อบุช่องท้องมีการพูดกันว่าเรินต์เกนเสียชีวิตจากการได้รับรังสีเอกซ์เรย์แต่ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการเกิดโรคมะเร็งนี้เป็นผลมาจากการรับรังสีเอกซ์เรย์ทั้งนี้เนื่องจากการค้นคว้าวิจัยในส่วนที่เรินต์เกนต้องเกี่ยวข้องกับรังสีโดยตรงและมากมีช่วงเวลาสั้น และเรินต์เกนเอง ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ที่เป็นผู้นำในการใช้ตะกั่วเป็นโล่ป้องกันอย่างสม่ำเสมอ
ในช่วงปี พ.ศ. 2438 เรินต์เกนได้ใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาโดยเพื่อนร่วมงานผู้มีชื่อเสียงคือ อีวาน พัลยูอิ (Ivan Palyui) นำมาให้ คือหลอดไฟที่เรียกว่า "หลอดพัลยูอิ" ซึ่งเรินต์เกนพร้อมกับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ได้แก่ ไฮริช รูดอล์ฟ เฮิร์ทซ์, วิลเลียม ครูกส์, นิโคลา เทสลา และฟิลิบ ฟอน เลนาร์ด ต่างทำการทดลองและทดสอบผลกระทบของการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงดึงสูงในหลอดแก้วสุญญากาศนี้จนถึงปลายปี พ.ศ.2408 บรรดานักค้นคว้าเหล่านี้จึงได้เริ่มทดลองค้นคว้าหาคุณสมบัติของรังสีแคโทดข้างนอกหลอดในต้นเดือนพฤศจิกายนเรินต์เกนได้ทดลองซ้ำโดยใช้หลอดของเลนาร์ดโดยทำช่องหน้าต่างด้วยอลูมเนียมบางๆ เพื่อให้รังสีผ่านออกและใช้กระดาษแข็งปิดทับเพื่อป้องกันไม่ให้แผ่นอะลูมิเนียมเสียหายจากไฟฟ้าสถิตย์กำลังแรงที่จะเป็นในการสร้างรังสีแคโทด เรินต์เกนรู้ว่ากระดาษแข็งจะช่วยป้องกันไม่ให้แสงหนีออกแต่เขาได้สังเกตเป็นว่ากระดาษแข็งที่ทาด้วยแบเรียม ปลาติโนไซยาไนด์ (barium platinocyanide) ที่อยู่ใกล้ขอบช่องอะลูมิเนียมเกิดการเรืองแสงเรินต์เกนพบว่าหลอดของครูกส์ที่มีผนังหลอดหนาก็อาจเกิดการเรืองแสงใน
เซอร์ วิลเลียม เฮนรี เพอร์กิน


 


ชื่อ:เซอร์ วิลเลียม เฮนรี เพอร์กิน (Sir William Henry Perkin)
เชื้อชาติ:ชาวอังกฤษ
มีชีวิตในช่วง: พ.ศ. 2381 - 2450
ผลงานที่สำคัญ:ผลิตสีสังเคราะห์ได้คนแรก
              บิล เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ชื่อเต็มของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์
เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของ โรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิล เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมา บิล เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1
ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นโปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)
ในปี ค.ศ. 1994 บิล เกตส์ได้ม้วนกระดาษไลเชสเตอร์ ซึ่งรวบรวมงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชีมาไว้ในครอบครอง และในปี ค.ศ. 2003 ได้นำม้วนกระดาษนี้ออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองซีแอทเทิล
ในปี ค.ศ. 1997 เกตส์ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการขู่กรรโชกทรัพย์อันแปลกประหลาด ของนายอดัม ควินน์ เพลตเชอร์ ชาวเมืองชิคาโก ซึ่งเกตส์ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าว เพลตเชอร์ถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 และถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 เกตส์ถูกนายโนเอล โกดังจู่โจมด้วยการปาขนมพายหน้าครีมใส่ ระหว่างการไปปรากฏตัวที่ประเทศเบลเยียม
ตามรายงานของนิตยสารฟอบส์ เกตส์ได้บริจาคเงินให้การรณรงค์หาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 2004 และตามรายงานของศูนย์เฝ้าระวังทางการเมือง เกตส์ถูกระบุว่าบริจาคเงินอย่างน้อย 33,335 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับการรณรงค์หาเสียงมากกว่า 50 ครั้ง ตลอดฤดูกาลเลือกตั้งในปีค.ศ. 2004
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2004 บิล เกตส์ ได้ร่วมกับคณะกรรมการบริหารของ Berkshire Hathaway เพื่อสานความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างเขากับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ Berkshire Hathaway เป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอา บริษัทประกันภัยไกโค Benjamin Moore (บริษัทสี) และ Fruit of the Loom (บริษัทสิ่งทอ) เข้าไว้ด้วยกัน เกตส์ยังได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารของ Icos ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของ Bothell
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2005 สำนักวิเทศสัมพันธ์ของสหราชอาณาจักรได้ประกาศว่า บิล เกตส์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนที่ต่อสิ่งเขาได้อุทิศให้กับบริษัทในสหราชอาณาจักร และความพยายามของเขาในการลดปัญหาความยากจนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นบุคคลสัญชาติในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เขาจึงไม่สามารถใช้คำนำหน้าว่า เซอร์ ได้ แต่เราต้องใส่อักษร "KBE" (Knight Commander of The British Empire) ตามหลังชื่อของเขา


เอวันเยลิสตา ตอร์รีเซลลี

 

ชื่อ:เอวันเยลิสตา ตอร์รีเซลลี (Evangelista Torricelli)
เชื้อชาติ:ชาวอิตาเลียน
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ. 2151 - 2190
ผลงานที่สำคัญ:สร้างบารอมิเตอร์ สำหรับวัดความกดดันของอากาศ

บารอมิเตอร์
        การประดิษฐ์คิดค้นของโตร์ริเชลลีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเครื่องวัดความดันอากาศ หรือ บารอมิเตอร์ (barometer) ซึ่งเกิดขึ้นจากการแก้ปัญหาการทดลองที่สำคัญ การสร้างน้ำพุกลางบ่อที่ขุดลึกประมาณ 16-18 เมตร ของแกรนด์ดยุกแห่งทัสโคนี พยายามสูบน้ำในท่อให้สูง 12 เมตรหรือมากกว่าโดยขณะลูกสูบยกน้ำขึ้นจะเกิดสุญญากาศทำให้เกิดแรงยกของเหลวขึ้นที่ปลายท่อขาออก แต่ค้นพบว่า ไม่ว่าทำอย่างไรก็ขึ้นไปได้เพียงขีดจำกัดที่ 9-10 เมตร ไม่สามารถสูบให้สูงกว่านี้
เมื่อ พ.ศ. 2186 (1643) โตร์ริเชลลีทดลองเพิ่มเติมโดยใช้ ปรอท ซึ่งหนักเป็น 13-14 เท่า ของน้ำ และพบว่า ได้ผลทำนองเดียวกันโดยขีดจำกัดต่ำกว่าเขาสร้างท่อที่มีความยาวประมาณ 1 เมตร บรรจุด้วยปรอทปลายข้างหนึ่งตัน แล้วติดตั้งในแนวตั้งให้ปลายอีกข้างจมอยู่ในอ่าง ปรอทในท่อถูกยกขึ้นไปกับท่อได้สูงเพียงประมาณ 76 เซนติเมตร หรือ 760 มิลลิเมตร แม้ว่าท่อจะถูกยกให้สูงกว่านี้ภายในเหนือปรอทเป็นสุญญากาศ (Torricellian vacuum)วิธีนี้เป็นที่มาของหน่วยเทียบความดันของอากาศโดยความดันอากาศที่ระดับน้ำทะเลเท่ากับ 760 มิลลิเมตรของปรอทและที่ระดับความสูงกว่าระดับน้ำทะเล ความดันอากาศจะน้อยกว่า 760 มิลลิเมตรของปรอท
เมื่อ พ.ศ.2184 เขาประกาศการค้นพบนี้ว่า  " บรรยากาศ เป็นตัวการทำให้เกิดแรงกดของอากาศเปลี่ยนไปในเวลาต่างกัน "
และสิ่งนี้คือ เครื่องวัดความดันอากาศ เครื่องแรก เป็นการค้นพบที่สร้างชื่อเสียงตลอดกาลแก่เขา หลายศตวรรษต่อมา ชื่อหน่วยในการวัดความดัน จึงถูกตั้งตามชื่อนามสกุลของเขาว่า ทอร์ (torr) ซึ่งก็คือ หน่วย มิลลิเมตรปรอท นั่นเอง โดยเทียบ 1 มิลลิเมตรปรอท หรือ 1 ทอร์ เท่ากับประมาณ 133.322 ปาสคาล ในหน่วยอนุพันธ์ของหน่วยเอสไอ
เขายังทดลองต่อมาพบอีกว่าแรงดันหรือความดันอากาศในแต่ะวันจะแตกต่างเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยนอกจากนี้ปัจจุบันเข้าใจกันดีว่าความสูงของของเหลวในท่อแปรผกผันกับ ความดันอากาศ (ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละระดับความสูง) อีกด้วย
การเคลื่อนที่ของของไหล
กฎของทอร์ริเชลลี (Torricelli'sLaw) ว่าด้วย ความเร็วของของไหลที่ไหลออกจากท่อเปิด และภายหลังได้รับการขยายความเข้าใจกลายเป็นหลักการของแบร์นูลลี (Bernoulli's principle)

โรเบิร์ต บอยล์



ชื่อ:โรเบิร์ตบอยล์(RobertBoyle)
เชื้อชาติ:ชาวไอริช
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ.2170-2234
ผลงานที่สำคัญ:บิดาแห่งวิชาเคมีผู้ศึกษาเรื่องความดันและปริมาตรของก๊าซ
    โรเบิร์ต บอยล์ (อังกฤษ: Robert Boyle; FRS; 25 มกราคม ค.ศ. 1627 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1691) นักปรัชญาธรรมชาติ นักเคมี นักฟิสิกส์ และนักประดิษฐ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นผู้คิดค้นกฎของบอยล์ ซึงกล่าวว่า เมื่ออุณหภูมิและมวลของแก๊สคงที่ ปริมาตรของแก๊สจะแปรผกผันกับความดันแม้งานวิจัยส่วนใหญ่ของบอยล์จะมีรากฐานอยู่กับวิชาเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม แต่ปัจจุบันเขาได้รับยกย่องให้เป็นนักเคมียุคใหม่คนแรก เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเคมีแห่งยุคใหม่
จอห์น เรย์




ชื่อ:จอห์น เรย์ (John Ray)
เชื้อชาติ: ชาวอังกฤษ
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ. 2170 - 2248
ผลงานที่สำคัญ:บิดาแห่งวิชาพฤกษศาสตร์ ผู้ริเริ่มงานด้านชีววิทยา จำแนกพืชพันธุ์ต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่ และตั้งชื่อไว้ด้วย
               เขาก็เหมือนนักศึกษาค้นคว้าคนอื่นๆที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับงานที่รักอย่างยอมตายถวายชีวิตซึ่งบางคนกว่าชาวโลกจะบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในผลงานของเขาก็ต้องล้มตายไปเสียก่อน  คนๆนั้นถึงจะ ดังเรื่องของคนดีมีประโยชน์  มักจะเริ่มมาจากเด็กข้างถนนลูกชาวนาที่ยากจน   บางคนถ้าพูดแบบเขาก็เหมือนนักศึกษาค้นคว้าคนอื่นๆที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับงานที่รักอย่างยอมตายถวายชีวิตซึ่งบางคนกว่าชาวโลกไทยๆ  กอ ขอ กอกา ไม่กระดิกหูแต่ก็เอาดีจนได้และดีจนไม่อาจจะตามทันได้
                สำหรับจอห์น  เรย์   เขาเป็นนักธรรมชาติวิทยามีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่มีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์จนได้ รับกายกย่องว่าเป็น บิดาแห่งพฤกษศาสตร์”  อย่างนี้ก็แปลว่า  เขาหลับตามองเห็นพืชทุกชนิด
                เขาเป็นคนอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่  29 กุมภาพันธ์  ค.ศ.1628 (พ.ศ.2127) ใกล้เบรนทรีเอสเซกซ์  พ่อเป็นช่างตีเหล็ก แต่ก็ส่งเสียลูกชายจนถึงขั้นจบมหาวิทยาลัย คือจบ เคมบริดจ์
              
                เขาเกิดก่อนชาลส์ โรเบิร์น ดาร์วิน ผู้วางทฤษฎีแห่งการพัฒนาธรรมชาติซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยาชาติเดียวกับเขาเมื่อเขาเป็นผู้ริเริ่มงานทางด้านธรรมชาติเขาจึงได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลังซึ่งได้อาศัยการริเริ่มของเขาเป็นบรรทัดฐานศึกษาค้นคว้าหาสิ่งใหม่ๆและความก้าวหน้าในวิชาแขนงนี้
               จอห์น เรย์  ได้ทุ่มเทวิชาความรู้และความสนใจต่อเรื่องราวของธรรมชาติจนมีผลงานดีเด่น  และได้เข้าร่วมสมาชิก  F.R.S. และในปี  ค.ศ.1667  สมาคมทางพฤกษศาสตร์และสัตววิทยาได้เอาชื่อของเขาไปตั้งเป็นอนุสรณ์คือ  “The  Ray  Society”

                ต่อมาในปี ค.ศ.1682  เขาได้จำแนกพืชต่างๆและได้ตั้งชื่อกำกับพืชที่เขาจำแนกแยกนั้นไปด้วยและผลงานอันนี้ของเขาแหละที่ทำให้จอห์น เรย์ ได้รับเกียรติอย่างสูงเป็น บิดาแห่งพฤกษศาสตร์”   เขาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1705 (พ.ศ.2248) รวมอายุได้ 77 ปี





































แซมมวล ฟินเลย์ บริส มอร์ส







ชื่อ:แซมมวล ฟินเลย์ บริส มอร์ส (Samuel Finley Breese Morse)
เชื้อชาติ: ชาวอเมริกัน
มีชีวิตในช่วง: พ.ศ. 2334-2415
ผลงานที่สำคัญ:สร้างโทรเลขแบบแม่เหล็กเป็นคนแรกคิดรหัสของมอร์ส มีลักษณะเป็นจุดและขีดแทนเครื่องหมายและอักษรต่างๆ

                  แซมมวล มอร์ส (Samuel Morse) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้คิดค้นเครื่องส่งโทรเลข และรหัสมอร์ส เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1791 เนื่องจากความเเศร้าเสียใจที่ภรรยาเสียชีวิต แล้วมอร์สไม่ทราข่าวทำให้เขาคิดที่จะสร้างเครื่องที่ทำให้การสื่อสารเร็วขึ้น อันเป็นจุดเริ่มต้น ของเครี่งอส่งโทรเลข
ผู้คิดค้นรหัสมอร์สและเครื่องส่งโทรเลข แซมมวล มอร์ส (Samuel Morse) นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน มีชื่อเต็มว่า แซมมวล ฟินเลย์ บรีส มอร์ส (Samuel Finley Breeze Morse) เป็นลูกชายของนักบวช แห่งเมืองแมสซาซูเซส เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1791
ต่อมาในปี 1818 มอร์สได้แต่งงานกับลูกสาวของเครียเทีย พิคเคอร์ริ่ง วอคเกอร์ แต่เธอต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวาย จากการโทรคมนาคมในสมัยนั้นยังล้าช้า ทำให้กว่าเขาจะทราบข่าว ก็ล่วงเลย ไปหลายวันแล้ว มอร์สรู้สึกเสียใจมาก และตั้งใจว่า จะหาวิธีส่งข่าวสาร ให้ได้รวดเร็วกว่านี้ให้ได้สักวันหนึ่ง
เขาได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาเป็นอย่างดีจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเยล(Yale University)ด้านศิลปะซึ่งเป็นศาสตร์ที่มอร์สชื่นชอบเมื่อเรียนจบด้วยความสนใจที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงไปศึกษาด้านศิลปะต่อที่ประเทศอังกฤษ และได้พบจิตกรที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่อังกฤษเขาเริ่มทำงาน รับจ้างวาดภาพ จนกระทั่งเปิด Gallery เป็นของตัวเองซึ่งภาพเขียนที่มีชื่อเสียงของมอร์สได้แก่ การตายของเฮอร์คิวลิส” (The Dead of Hercules) และ การตัดสินใจของจูปีเตอร์” (The Decide of Jupiter)
จนเมื่อเขามีโอกาสได้พบกับชาร์ล แจ็คสัน(Charls F. Jacson) นักเคมีผู้เชี่ยวชาญเรื่อง แม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้มอร์เกิดควมคิดที่จะสร้างเครื่องส่งโทรเลขขึ้นในปี 1832 ตลอดเวลาเขาเฝ้าดูการ ทดลองของแจ็คสันจนทำให้มอร์สเกิดความคิดที่จะส่งรหัสโดยอาศัยแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เขาประดิษฐ์เครื่องส่งโทรเลขได้สำเร็จในปี 1837 มอร์สทำการส่งโทรเลขครั้งแรกจากภายในหอประชุมของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค โดยมีระยะทางในการส่งครั้งแรกเพียง 1,700 ฟุต แต่ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะมีผู้คนเข้าชมอย่างมาก อีกทั้งการแสดงครั้งนี้ทำให้มอร์สได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนางานโทรเลขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเริ่มส่งสัญญาณไปในระยะไกลครั้งแรก จากกรุงวอชิงตันไปบัลติมอร์ เป็นระยะทาง 38 ไมลล์ โดยใช้ข้อความว่า พระเจ้าทำงานอะไร” (What hath God wrought) ส่วนปลายทางที่บัลติมอร์ ตอบกลับมาว่า "เขียนที่สุดปลายทาง" ซึ่งข้อความของมอร์สได้ประดิษฐ์ระบบจุด-ขีด ที่รู้จักกันว่า รหัสของมอร์ส ใช้วิธีการส่งสัญญานไฟฟ้า ยาว-สั้น ไปตามเส้นลวดแล้วแปลเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
มอร์สเสียชีวิตเมื่อปี 1872 ด้วยโรคปอดบวม เพื่อรำลึกถึงความสามารถของเขา ทางสมาคมโทรเลขแห่งสหรัฐอเมริกา จึงสร้างอนุสาวรีย์ให้มอร์ส ที่สวนสาธารณะในเมืองนิวยอร์ค

























เอนริโค เฟร์มี




ชื่อ:เอนริโค เฟร์มี (Enrico Fermi)
เชื้อชาติ:ชาวอิตาเลียน
มีชีวิตในช่วง:พ.ศ. 2444 - 2497
ผลงานที่สำคัญ: สร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์

ในช่วงประมาณคริสต์ทศวรรษ 1930 แฟร์มีและกลุ่มนักวิจัยของเขาค้นพบว่านิวเคลียสภายในอะตอมสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อถูกระดมยิงด้วยอนุภาคนิวตรอน ซึ่งต่อมาภายหลังเรารู้กันว่าสิ่งที่แฟร์มี(และ OttoHahn กลุ่มนักวิจัยชาวเยอรมัน)ค้นพบก็คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบแตกตัว (นิวเคลียร์ฟิชชั่น) นั่นเองแฟร์มียังมีส่วนสำคัญในการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขึ้นครั้งแรกในโลก ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถสร้างและควบคุมปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถพัฒนาระเบิดปรมาณูได้สำเร็จ จึงนับได้ว่าเขาเป็นบิดา (คนหนึ่ง) ของวิชานิวเคลียร์ฟิสิกส์
ในปี พ.ศ. 2469 งานที่สำคัญของแฟร์มีในวิชากลศาสตร์สถิติ (Statistical Mechanics) คือการค้นพบสถิติแบบแฟร์มี-ดิแรก (Fermi-Dirac Statistics) ซึ่งเป็นการศึกษาระบบอนุภาคจำนวนมากที่อยู่ภายใต้หลักการกีดกันของเพาลี (Pauli's exclusion principle)
ระบบทางฟิสิกส์ที่ต้องใช้สถิติแบบแฟร์มี-ดิแรกในการอธิบายมีจำนวนมากตัวอย่างเช่น กลุ่มแก๊สของอิเล็กตรอน) นับเป็นการปรับปรุงวิชากลศาสตร์สถิติแบบแผนให้ครอบคลุมสมบัติเชิงควอนตัมของอนุภาค (สปิน) ด้วย
ด้วยเหตุนี้สถิติแบบแฟร์มี-ดิแรกถูกไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางตั้งแต่การอธิบายปรากฏการณ์ระดับสเกลเล็ก ๆ ในระดับอะตอมไปจนถึงวัฏจักรชีวิตของดาวฤกษ์ ให้สังเกตว่าเป็นปี พ.ศ. 2469 แฟร์มี และพอล ดิแรก ศึกษาเรื่องนี้ เป็นปีที่เพิ่งเริ่มมีวิชากลศาสตร์ควอนตัม (Quantum Mechanics) ที่สมบูรณ์เท่านั้น และดิแรกเองก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ค้นพบวิชากลศาสตร์ควอนตัมด้วย
งานชิ้นต่อมาทางด้านทฤษฎีของแฟร์มีที่มีผู้ศึกษาต่อกันมาอย่างแพร่หลายคือแนวคิดเกี่ยวกับแรงอันตรกิริยาแบบอ่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่แรงมูลฐานที่ศึกษากันในฟิสิกส์ปัจจุบันจากแนวคิดเรื่องแรงอันตรกิริยาแบบอ่อนนี้เขาและเพาลีได้เสนออนุภาคใหม่คือ อนุภาคนิวตริโน (neutrio)-ตั้งชื่อโดยแฟร์มี-ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในการอธิบายการกำเนิดแสงของดวงอาทิตย์ อนุภาคนิวตริโนก็ยังมีปริศนาที่สำคัญอีกมากมายที่วิชาฟิสิกส์อนุภาคในปัจจุบันยังไม่สามารถให้คำอธิบายได้ยังรอการค้นคว้าใหม่ๆทั้งในแง่ของการทดลองและทฤษฎี
ด้วยผลงานการศึกษาอย่างจริงจังในสาขาเหล่านี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี พ.ศ. 2481































เบนจามิน แฟรงคลิน





          เบนจามิน แฟรงคลิน (อังกฤษ: Benjamin Franklin) (17 มกราคม ค.ศ. 1706 [O.S. 6 มกราคม ค.ศ. 1705]– 17 เมษายน ค.ศ. 1790) เป็นหนึ่งในแกนนำผู้ก่อตั้ง (Founding Fathers) ของสหรัฐอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลิน เป็น ช่างพิมพ์ คนเรียงพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปฏิรูป และนักการทูต คนสำคัญในยุคแสงสว่างของสหรัฐอเมริกา
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เขามีผลงานหลายอย่างในด้านฟิสิกส์ ผลงานที่สำคัญคือคิดค้นสายล่อฟ้า และผลงานอื่นเช่นแว่นไบโฟคอล เตาแฟรงคลิน และฮาร์โมนิกาแก้ว เขาเป็นผู้เริ่มก่อตั้งห้องสมุดแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาและก่อตั้งสถานีดับเพลิงแห่งแรกในรัฐเพนซิลเวเนียผลงานในฐานะนักการเมืองเขาเป็นนักเขียนและผู้นำการเคลื่อนไหวคนสำคัญไปสู่การแยกตัวออกจากอาณานิคมและร่วมก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกาในฐานะนักการทูตเขาได้เป็นทูตคนสำคัญในช่วงปฏิวัติอเมริกาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศสซึ่งนำไปสู่การแยกตัวของประเทศจากอาณานิคมของอังกฤษในที่สุด
แฟรงคลินเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นนักเรียงพิมพ์ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งสร้างความมั่งคั่งจากหนังสือ Poor Richard's Almanack และหนังสือพิมพ์เพนน์ซิลเวเนียแกเซตต์ (Pennsylvania Gazette) แฟรงคลินมีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกคนหนึ่ง นอกจากนี้เขาได้เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และวิทยาลัยแฟรงคลินแอนด์มาร์แชลล์ เขายังได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสมาคมปรัชญาอเมริกา
จากผลงานของแฟรงคลินทั้งในด้านวิทยาสาสตร์และการเมืองเขาได้ถูกยกย่องและกล่าวถึงในหลายด้าน เขาปรากฏในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา (100 ดอลลาร์สหรัฐ) ชื่อของเขายังปรากฏเป็นชื่อ เมือง เคาน์ตี สถานศึกษา และผลงานอีกหลายด้านยังมีการกล่าวถึงตราบจนปัจจุบัน
ประวัติวัยเยาว์
















































2 ความคิดเห็น:

  1. ขอเพิ่มหน่อยงับเอาข้อมูลแบบว่าเกิดที่ประเทศอะไรด้วยรวมๆแล้วข้อมูลที่อ่านก็ดีมากแต่ไม่หลากหลายเช่นสัญชาติของนักวิทยาศาสตร์น้อยเกิน😊☺

    ตอบลบ
  2. The best casinos for slots - Casino Poker Tournaments
    No, there isn't any casino for you. The most 슬롯 꽁 머니 popular slot machines 하랑 도메인 with the most winning combinations 예스 벳 are 벳 이스트 the 잭팟 시티 Harrah's

    ตอบลบ